มนุษย์เราเอ๋ย

วันนี้วันอาทิตย์ที่ 24 พ.ย. 56
  • ไปเยี่ยมน้องชายที่โรงบาลมหาราช อาการป่วยของน้องชายครั้งนี้หนักกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา เมื่อคืนเจ้าหน้าที่ต้องมัดมือมัดเท้าไว้กับเตียงเพราะคนป่วยไม่ยอมนอน กระสับกระส่าย โดดจากเตียง ตอนสาย ๆ ไปเยี่ยมยังมีอาการมือไม้สั่น จำใครไม่ค่อยได้ แต่ยังจำแม่จำพี่น้องได้ กระเพาะที่รั่วยังไม่น่าเป็นห่วงเท่ากับตับที่มีปัญหา ช่วงแรกจะมีอาการลงแดงมือสั่นแบบนี้ ถ้าอดทนได้ไม่กลับไปกินเหล้าอีกก็จะหายจากอาการนี้ได้
  • ได้เห็นคนป่วยเตียงอื่น ๆ ที่ล้นออกมานอกห้องอายุรกรรมชายชั้น 7 แล้วก็ได้รับรู้ถึงความเจ็บปวดทุกข์ทรมานของคนป่วย มนุษย์เราเอ๋ย เกิดมาทำไม
  • คิดเห็นใจเจ้าหน้าที่ที่ดูแลรักษาผู้ป่วยในโรงบาล
  • ถ้าเราทำงานอยู่ในโรงบาลแบบนี้คงจะได้ปลงทุกวัน ไม่อยากได้ ไม่อยากมี ไม่อยากเบียดเบียนกัน
  • ตอนเที่ยงเดินทางไปที่วัดฉกาจ พิมาย งานเผาศพ พี่สาวของน้าเขย ป้าท่านนี้ประสบอุบัติเหตุขณะจอดซ่อมรถมอเตอร์ไซด์ที่เสีย ถูกรถใหญ่ชนจนเสียชีวิตเมื่อวันพฤหัสที่ 21 พ.ย. 56 นี้
  • ถึงวัดประมาณบ่ายโมงกว่า มีพิธีกรรมในศาลา เผาหลอกในศาลาเสร็จประมาณบ่ายสอง
  • ประมาณบ่ายสองครึ่งเริ่มเคลื่อนย้ายศพไปยังเมรุ (เวียนซ้ายรอบเมรุ 3 รอบ) แล้วก็วางดอกไม้จันทน์ตอนบ่ายสามโมง
  • กลับถึงบ้านถามภรรยาว่า คู่สามีภรรยาที่รักกันมาก ต้องตายจากกันศพอยู่ในโรงบนเมรุก่อนเผา จะมีบ้างไหมที่ใครจะกระโดดลงไปนอนในโรงด้วยกัน หอมแก้มกันสักฟอดดด...
  • ภรรยาตอบมาเป็นกลอนว่า มนุษย์เราเอ๋ย... ตายไปเป็นผี ลูกเมียผ้วรัก เขาชักหน้าหนี... แล้วก็จำไม่ได้ เหมือนเคยท่องตอนเด็ก ๆ 
  • ไปค้นหาดูพบแล้วก็เลยเอามาให้ดูกันเพื่อปลงสังขาร


มนุษย์เราเอ๋ย  (บทปลงสังขาร)

มนุษย์เราเอ๋ย เกิดมาทำไม นิพานมีสุข
อยู่ไยมิไป ตัณหาหน่วงหนัก หน่วงชักหน่วงไว้
ฉันไปมิได้ ตัณหาผูกพัน ห่วงนั้นพันผูก
ห่วงลูกห่วงหลาน ห่วงทรัพย์สินศฤงคาร จงสละเสียเถิด
จะได้ไปนิพพาน ข้ามพ้นภพสาม ยามหนุ่มสาวน้อย
หน้าตาแช่มช้อย งามแล้วทุกประการ แก่เฒ่าหนังยาน
แต่ล้วนเครื่องเหม็น เอ็นใหญ่เข้าร้อย เอ็นน้อยเข้าพัน
มันมาทำเข็ญใจ ให้ร้อนให้เย็น เมื่อยขบทั้งตัว
ขนคิ้วก็ขาว นัยน์ตาก็มัว เส้นผมบนหัว
ดำแล้วกลับหงอก หน้าตาเว้าวอก ดูหน้าบัดสี
จะลุกก็โอย จะนั่งก็โอย เหมือนดอกไม้โรย
ไม่มีเกสร จะเข้าที่นอน พึงสอนภาวนา
พระอนิจจัง พระอนัตตา เราท่านเกิดมา
รังแต่จะตาย ผู้ดีเข็ญใจ ก็ตายเหมือนกัน
เงินทองทั้งนั้น มิติดตัวเรา ตายไปเป็นผี
ลูกเมียผัวรัก เขาชักหน้าหนี เขาเหม็นซากผี
เปื่อยเน่าพุพอง หมู่ญาติพี่น้อง เขาหามเอาไป
เขาวางลงไว้ เขานั่งร้องไห้ แล้วกลับคืนมา
อยู่แต่ผู้เดียว ป่าไม้ชายเขียว เหลียวไม่เห็นใคร
เห็นแต่ฝูงแร้ง เห็นแต่ฝูงกา เห็นแต่ฝูงหมา
ยื้อแย่งกันกิน ดูน่าสมเพช กระดูกกูเอ๋ย
เรี่ยรายแผ่นดิน แร้งกาหมากิน เอาเป็นอาหาร
เที่ยงคืนสงัด ตื่นขึ้นมินาน ไม่เห็นลูกหลาน
พี่น้องเผ่าพันธุ์ เห็นแต่นกเค้า จับเจ้าเรียงกัน
เห็นแต่นกแสก ร้องแรกแหกขวัญ เห็นแต่ฝูงผี
ร้องไห้หากัน มนุษย์เราเอ๋ย อย่าหลงกันเลย
ไม่มีแก่นสาร อุตส่าห์ทำบุญ ค้ำจุนเอาไว้
จะได้ไปสวรรค์ จะได้ทันพระเจ้า จะได้เข้าพระนิพพาน
อะหัง วันทามิ สัพพะโส อะหัง วันทามิ นิพพานะปัจจะโย โหตุฯ


 

1 comment: